เล่าว่าก่อนที่จะเป็นแผ่นดินเขมรมีเกาะแห่งหนึ่งชื่อเกาะโคกธลก
(កោះគោកធ្លក)
อยู่ในทะเลและมีหาดทรายสวยงามและเมื่อน้ำลดลงในช่วงเช้าจะมีแผ่นดินเดินทางไปถึงเกาะนั้นได้
วันหนึ่งเจ้าชายองค์หนึ่งชื่อพระทองเป็นบุตรท้าวอาทิจจวงษ์ (អាទិច្ចវង្ស ) แห่งนครอินทพัทธ
(នគរឥន្ទព័ទ្ធ)
ได้มาเที่ยวเกาะแห่งนั้นแต่ว่าอยู่เพลินไปจนเย็นในช่วงนั้นน้ำขึ้นไม่สามารถกลับไปที่ฝังได้จึงต้องนอนค้างบนเนินหินริมหาดนั้น
ในระหว่างนั้นเองนางนาคกัลยาลูกสาวพญาผู้เป็นใหญ่ชื่อว่านางทาวตีกุมารี (ទាវតីកុមារី)
ได้ขึ้นมาจากเมืองบาดาลมาเที่ยวเล่นทรายที่เกาะแห่งนั้น ทำให้พบกับพระทองด้วยความบังเอิญแล้วทั้งสองก็รักกันจึงตกลงใจที่จะแต่งงานกัน
โดยตามประเพณีพระทองจะต้องตามนางนาคไปสู่ขอและแต่งงานกับนางที่เมืองบาดาลด้วย
ซึ่งพระทองก็เกาะสไบนางนาคไป จึงกลายเป็นประเพณีของชาวเขมรที่เจ้าบ่าวจะต้องจับสไบเจ้าสาวเข้าเรือนหอในพิธีแต่งงานห้ามหลุด
เมื่อพญานาคบิดานางนาคกัลยา “ทาวตีกุมารี”อนุญาตทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน หลังแต่งงานพระทองได้ตัดสินใจสร้างเมืองอยู่ที่ริมหาดนั้นเพื่อให้อยู่ใกล้เมืองบาดาลของนางนาค
ดังนั้นพญานาคบิดานางนาคกัลยาจึงได้สูบน้ำออกจากเกาะโคกธลก เพื่อให้เมืองของพระทองมีแผ่นดินกว้างใหญ่ยิ่งขึ้นกลายเป็นอาณาจักรกัมพูชา
และให้เฉลิมพระนามพระทองว่า พระบาทอาทิจจวงษา (ព្រះបាទអាទិច្ចវង្សា) หรือสมเด็จพระกุแมราช
ฯ (សម្ដេចព្រះកុម៉ែរាជ ฯ)
ส่วนนางทาวดีกุมารให้เป็นมเหษีเอกมีนามว่า พระนางทาวธิดา (នាងទាវធីតា) หรือสมเด็จพระวควัตตีกษัตรี
ฯ (សម្ដេចព្រះវគវត្ដី ក្សត្រី ฯ)
โดยในตอนที่พระทองสร้างเมืองพญานาคบอกพระทองว่าอย่าสร้างรูปปั้นครุฑ
เป็นอันขาดไม่เช่นนั้นพญานาคผู้เป็นพ่อตาจะเข้าไปเยี่ยมไม่ได้
แต่ว่าพระทองไม่เชื่อได้สร้างรูปปั้นพญาครุฑขึ้นที่ทางขึ้นปราสาท
เพราะไม่อยากให้พ่อตาซึ่งเป็นพญานาคมาเยี่ยม
ดังนั้นเมื่อพ่อตาซึ่งเป็นพญานาคมาเยี่ยมพบกับรูปปั้นครุฑตรงทางขึ้นก็เข้าไปเยี่ยมในปราสาทไม่ได้
จึงหนีลงไปในบารายซึ่งเป็นสระน้ำขนาดใหญ่หน้าปราสาทนั้น
เมื่อพบว่าพระทองออกจากปราสาทมา ก็รีบเลื้อยมาหาในร่างของพญานาคด้วยความคิดถึงและความรัก
แต่ว่าพระทองเข้าใจผิดว่าตนจะถูกทำร้ายจึงจับพญานาคนั้นฉีกเป็นสองท่อนทำให้พญานาคพ่อตาถึงแก่ความตาย
ส่วนพระทองก็กลายเป็นโรคเรื้อนขึ้นทั้งตัวจากเลือดของพญานาคพ่อตาที่อาบร่างกายของพระทองและบาปที่พระทองฆ่าพญานาคพ่อตาผู้ไม่ได้ประสงค์ร้ายและมีคุณ
โดยเชื่อว่าเรื่องพระทองฆ่าพ่อตาพญานาคนี้ได้อิทธิพลจากภาพสลักพระกฤษณะปราบนาคกาลิยะของฮินดู
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชาวเขมรหลงลืมตำนานฮินดูดังเดิมจึงผูกเรื่องขึ้นใหม่และผนวกกับเรื่องตำนานของพระทอง
ซึ่งในตำนานพระทองนี้เทียบได้กับเรื่องพราหมณ์โกณฑัญญะ (កោណ្ឌញ្ញ) ที่ 1
และนางโสมา (សោមា)
นางนาคซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์และราชินีแห่งอาณาจักรฟูนันในประวัติศาสตร์และตำนานอาเซียน
อนึ่งในสมัยโบราณแต่เดิมนาคที่ให้ฝนคือพญาช้างบนสวรรค์
พระพิรุณ และพระอินทร์ ตามความเชื่อของฮินดูที่ซ้อนทับกันอยู่และมีอิทธิพลโดยตรงต่อตำนานในอาเซียนและเขมรไม่ว่าจะเป็นเรื่องช้างปัจจัยนาเคนทร์
(ช้างให้ฝน) พระพิรุณ (เทพแห่งฝน) และพระคันคาก (พระอินทร์หรือพญาแถนให้ฝน) จนมีคำอธิบายใหม่ว่าพระพิรุณคือเจ้าแห่งพญานาคจึงกลายเป็นพิรุณนาคราชเป็นพระสมุทรครองเมืองบาดาลผู้แปลงเป็นพญาช้างไปให้ฝนบนสวรรค์ตามคำสั่งของพระอินทร์เพื่อจะให้ความเชื่อที่ซ้อนทับกันเรื่องใครให้ฝนประสานกัน
ดังเช่นเรื่องพญาคันคากเป็นต้น แต่ในเขมรแบ่งเป็นสองเรื่องคือนิทานพระคันคาก
กับนิทานกบรบกับพระพรหม แต่อย่างไรก็ตามในความคิดของชาวอาเซียนพญานาคเป็นเจ้าบาดาลเป็นผู้มีอำนาจมากเทียบได้กับมังกรจีน
เพราะชาวเขมรใช้คำว่านาค เรียกมังกรจีน (នាគ) ด้วย และสัตว์ผสมระหว่างมังกรจีนกับสัตว์อื่นเช่น
กิเลน หรือม้านิลมังกรว่าเสะกบาลนาค (សេះក្បាលនាគ) หรือ
สัตวผสมระหว่างสิงโตกับมังกรว่าโตนาค (តោនាគ) เป็นต้น
โดยสรุปแล้วสัตว์ในวรรณคดีเขมรมักจะเป็นสัตว์ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีอินเดียที่จินตนาการขึ้นจากสัตว์ที่มีอยู่จริง
สามารถเทียบได้กับลาว จีนและไทย แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างคือ
ในงานศิลป์เขมรมักจะเรียกมังกรของจีนว่าพญานาค เช่นม้านิลมังกร หรือกิเลน
ก็เรียกว่า เสะกบาลนาค (หมายถึงม้าหัวพญานาค) เป็นต้น ในขณะที่ลาวไทยมีการจำแนกว่า
พญานาคและงูเป็นคนละสายพันธุ์จากการเทียบผิด ส่วนจีนได้รับอิทธิพลจากอินเดียทำให้มีมังกรสองชนิดใหญ่คือ
มังกรจีนแต่เดิมแท้กับมังกรที่พัฒนามาจากพญานาคในวรรณกรรมพุทธศาสนา จนทำให้มีความเชื่อว่าสัตว์ต่าง
ๆ เมื่อจำศีลนาน ๆ หรือบำเพ็ญบารมีจะกลายเป็นมังกรได้ เช่น ปลามังกร เต่ามังกร
และงูที่กลายเป็นมังกร เป็นต้น ซึ่งเป็นตัวแทนของความเพียรและบางชนิดก็ถือว่าเป็นสัตว์มงคลของจีน
ในขณะที่พญานาคมีความหมายในทางวัฒนธรรมและอำนาจของชนชั้นสูงของชาวไทย ลาว และเขมร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น